เย้า เป็นคำที่เรียกกันในหมู่คนจีนและคนไทย ซึ่ง หมายถึง “ สุนัขป่าเถื่อน” หรือ ผู้สืบเชื้อสายมาจากสุนัข ตามตำนานเล่ากันต่อ ๆ มาว่า ฟั่นหู เป็นบรรพบุรุษคนแรกที่สืบเชื้อ
สายมาจากมังกรเหลืองซึ่งเชื่อว่าเป็นสุนัขพันธุ์หนึ่ง ดังนั้น ชาวเย้าจึงไม่นิยมกินเนื้อสุนัข หรือเนื้อบางชนิด 
          ตำนานเย้ากล่าวว่า ในสมัยหนึ่ง เทวดาเป็นผู้สร้างโลก และสวรรค์ และสร้างมนุษย์หญิงชายขึ้นมา
แล้วให้จับคู่เป็นสามีภรรยากัน จนเกิดมีลูกมีหลานมากมาย ต่อมาเกิดน้ำท่วมโลก ผู้คนล้มตายกันหมด 
เหลือเพียงพี่น้องหญิงชายคู่หนึ่ง ซึ่งหนีไปซ่อนตัวอยู่ในลูกน้ำเต้ายักษ์ เมื่อน้ำแห้งจึงได้ออกมาตามหาพี่น้อง
ทั้งหลาย แต่ก็ไม่พบ เทวดาจึงลงมาบอกให้ทั้งสองแต่งงานกัน เพื่อจะได้สร้างมนุษย์ขึ้นมาอีก แต่พี่น้องทั้งสอง
ไม่ยอมเชื่อ และได้ไปปลูกต้นไผ่คนละต้น แต่แล้วยอดไผ่ก็เอนเข้าหากันและเกี่ยวพันกัน ครั้นเวลาก่อกองไฟ
แม้แต่ควันไฟก็ยังลอยเข้าหากันอีกจึงคิดว่าชีวิตของคนจะต้องอยู่ร่วมกัน เป็นสามีภรรยาต่อกันแน่ ในที่สุดทั้งสอง
จึงอยู่กินเป็นสามีภรรยากันจนมีลูกออกมาเป็นฟัก กาลครั้งหนึ่งมีเทพธิดาองค์หนึ่งได้มาเป็นผู้ผ่าลูกฟักออก
แล้วให้ทั้งสองโยนเมล็ดฟักไปยังที่ราบข้างล่างส่วนเนื้อฟักได้โยนขึ้นดอย แต่ผู้เป็นสามีกลับไม่เชื่อฟังเทพธิดา
แนะนำ โดยโยนเนื้อฟักไปยังที่ราบ และกลายเป็นผู้คนอาศัยอยู่เบื้องล่างมากมาย ส่วนเมล็ดฟักกลับโยนขึ้นบนดอย
จึงกลายเป็นชาวเขาเผ่าต่าง ๆ ทำมาหากินบนดอย และได้กลายมาเป็นบรรพบุรุษของชาวดอยในปัจจุบัน 
              ต่อมาเกิดฝนแล้งชาวเย้าต่างก็ทำมาหากินไม่ได้ จึงพากันอพยพลงเรือข้ามน้ำ ข้ามทะเลทั้ง 12 ตระกูล ไปถึง 7 วัน 7 คืน ก็ยังขึ้นฝั่งไม่ได้
 จึงได้บนบานต่อผีสามดาวให้ช่วยเหลือ โดยฆ่าหมูบวงสรวง แต่แล้วในที่สุดเรือก็เข้าสู่แผ่นดินใหญ่ได้อย่างปลอดภัย ทุกคนทั้ง 12 ตระกูลต่างก็
แยกย้ายกันไปอยู่ตามที่ต่าง ๆ บนดอยสูง และกลายมาเป็นบรรพบุรุษของเย้าในปัจจุบันนี้แต่ตามประวัติของเย้า ถือได้ว่าเย้าเป็นมนุษย์ชาติพันธุ์ที่
ี่จัดอยู่ในพวกจีน-ทิเบต ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับพวกม้งหรือแม้ว เย้านิยมเรียกตนเองว่า เมี่ยน แต่ชาวจีนมักจะเรียกออกเสียงเพี้ยนไป “ แมน” หรือ 
แม้วไปในที่สุด พวกแม้ว-เย้า มีถิ่นเดิมอยู่ในแถบยูนนาน ประเทศจีน ซึ่งต่อมาจีนได้แผ่อำนาจลงมาทางใต้เข้ายึดครองดินแดนที่เย้าเคยอยู่และขับไล่
ให้ถอยร่นลงมา ที่เหลืออยู่ก็ถูกจีนปราบลง อย่างราบคาบในสมัยราชวงศ์ถังและซ้อง ชนเผ่าเย้าได้ถูกบังคับให้อพยพลงมาทางใต้ และทางตะวันตก
แล้วเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่บริเวณมณฑลกวางเจา พวกนี้ถูกเรียกชื่อว่าแม้ว ส่วนพวกที่อพยพลงมาอยู่ที่มณฑลกวางตุ้ง กวางสี เรียกชื่อว่า เย้า 
               ต่อมาได้เกิดสงครามกลางเมืองในจีนขึ้น เย้าจึงอพยพลงมาสู่ดินแดนเวียดนาม ลาว และเข้าสู่ประเทศไทย เมื่อก่อนสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประมาณร้อยปีมานี้ โดยกลุ่มเดียว
 ไม่แตกออกเป็นกลุ่มย่อยเหมือนอย่างชาวเขาเผ่าอื่น ๆ เย้า มีภาษาพูดเป็นของตนเองแต่ไม่มีภาษาเขียน ดังนั้นเย้าจึงนำเอาอักษรจีนมาเขียนแทน  เนื่องมาจากเย้าเคยอยู่ดินแดนจีนมานาน
 จึงรับเอาวัฒนธรรมหรืออิทธิพลทางด้านมุคลิก ลักษณะและภาษาของจีนมาใช้ ภาษาของเย้าคล้ายคลึงกับภาษาจีนกลางมาก นอกจากภาษาพูดแล้ว เย้า ยังได้ใช้อักษรจีนมาเขียนแทนการ
บันทึกตำนานหรือบทเพลงต่าง ๆ ซึ่งก็ล้วนแล้วแต่ใช้อักษรจีนทั้งนั้น สำหรับเย้าที่อพยพเข้ามาอยู่ในประเทศไทย ปัจจุบันพวกเขาสามารถพูดภาษาไทยเหนือได้ จึงติดต่อกับคนไทยพื้นราบ
ได้เป็นอย่างดี
       

 

 

 

 

 

 

 

 

                    ด้วยความที่เป็นกลุ่มชน ซึ่งมีอุปนิสัยขยันขันแข็งและมีวิถีชีวิตเรียบง่าย ชีวิตในวันหนึ่ง ๆ มักพะวงอยู่แต่กับการทำงานจนแทบไม่มีเวลาพักผ่อน เย้าเป็นกลุ่มชนที่รักเผ่าพันธุ์
รักสายเลือดเดียวกัน ยึดมั่นในขนบธรรมเนียมประเพณีของเผ่าตนอย่างจริงจัง และเป็นเผ่าที่รักในการทำมาค้าขายมาก เย้าจึงถูกตั้งสมญาขึ้นใหม่ว่า “ พ่อค้าแห่งขุนเขา” ในขณะเดียวกัน
เย้ายังเรียกตนเองว่า “ เมี่ยน” อยู่เช่นเดิม        
                   ปัจจุบัน มีชาวเย้าเข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยประมาณสามถึงสี่หมื่นคนเศษ ส่วนใหญ่จะอยู่กันอย่างหนาแน่นในเขตจังหวัดเชียงราย และกระจายอยู่ตามพื้นที่แถบจังหวัด
ทางภาคเหนือ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา น่าน ลำปาง แพร่ ฯลฯ โดยปกติชาวเย้าจะอาศัยอยู่ในบริเวณพื้นที่ราบภูเขาสูงเท่านั้น อุปนิสัยของเย้าจะชอบทำการค้าขายให้กับชาวเขาเผ่าอื่น ๆ
 ดังสมญานามว่า พ่อค้าแห่งขุนเขา.

 

    ที่มาของข้อมูล 
     บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 2547. 30 ชาติในเชียงราย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ศยาม.