เรวดี มูลประการ นางสาวเชียงใหม่ ปี ๒๕๐๙

 

 

ที่มาของข้อมูล

วิเวศ วัฒนสุข. 2549. 8 ทศวรรษดอกเอื้องเวียงพิงค์สายสัมพันธ์แห่งอารยธรรม.กรุงเทพฯ : ม.ป.พ.

       คู่แข่ง “ จีรนันท์ ” มีหวังคว้ามงกุฎนางสาวเชียงใหม่ ข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับประจำวันที่ 3 มกราคม 2509 ได้พาดหัวข่าวเป็นการโหมโรงการประกวดนางสาวเชียงใหม่ 
โดยชูตัวเก็งเต็งหนึ่งผู้เป็นสาวงามที่เพิ่งผ่านเข้าสู่รอบ 15 คนสุดท้ายในการประกวดนางสาวไทย 2508 มาหมาด ๆ เมื่อต้นเดือนธันวาคม 2508 ที่ผ่านมาคือนางสาว เรวดี มูลประการ 
อดีตนางสาว สันป่าตองประจำปี 2508 การประกวดนางสาวเชียงใหม่ในปีนี้ได้กำหนดการประกวดสลับกับการประกวดนางสาวถิ่นไทยงามโดยการประกวดนางสาวเชียงใหม่มีการประกวด
รอบแรกในคืนวันที่ 31 ธันวาคม 2508 และวันที่ 2 มกราคมมีการคัดสาวงามให้เหลือคืนละ 10 คน ส่วนรอบตัดสินได้กำหนดในวันที่ 4 มกราคม สำหรับการประกวดนางสาวถิ่นไทยงามจัดประกวด
รอบแรกในวันที่ 1 3 และ 5 มกราคม ตัดสินการประกวดในวันที่ 6 มกราคมและในการประกวดนางสาวถิ่นไทยงามนี้ สาวงามตัวเก็งอันดับหนึ่งจากเวทีนางสาวเชียงใหม่ผู้เข้าร่วมประกวดนางสาว
ถิ่นไทยงามด้วย คือ เรวดี มูลประการได้ถอนตัวจากการประกวดในวันที่ 3 มกราคม เนื่องจากเธอมุ่งที่จะประกวดนางสาวเชียงใหม่เพียงเวทีเดียวส่วนผู้ชนะเลิศและครองมงกุฎนางสาวถิ่นไทยงาม
ไปครองคือ สาวงามจากจังหวัดน่าน พิกุลแก้ว ไชยช่อฟ้า 
        ในค่ำคืนวันที่ 4 มกราคม 2509 อันเป็นวันตัดสินการประกวดได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 21 น. เศษ สาวงามทั้ง 20 คนได้เดินโชว์
โฉมเพื่อให้คณะกรรมการคัดเลือกให้เหลือเพียง 10 คน และระหว่างรอผลผู้ผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้ายและใครจะได้ตำแหน่งสูงสุดไปครอง
บนเวทีได้สลับด้วยการแสดงบัลเลต์ในชุดมงกุฎเพชรและก่อนการประกาศผลรอบ 10 คน นั้น น.ส. จีรนันทร์ เศรวตนันทน์ นางสาวไทย 2508 
ที่ได้เข้าร่วมเป็นแขกของการประกวดนางสาวเชียงใหม่ได้ขึ้นไปปรากฏตัวร้องเพลงเพื่อการกุศลบนเวทีเมื่อเวลาล่วงเลยเข้าสู่วันใหม่พียงไม่กี่นาที
ี นาย ทิม โชตนา ประธานกรรมการกองประกวดได้ขึ้นบนเวทีประกาศผลตัดสิน นางสาวเชียงใหม่ 2509 ได้แก่ น.ส. เรวดี มูลประการ 
โดยนอก เหนือจากมงกุฎและถ้วยรางวัลแล้วเธอจะได้รับเงินสด 6,000 บาท ส่วนรองนางสาวเชียงใหม่อันดับ 1-4 ได้แก่ น.ส. ไพริน ละอองนวล 
เป็นรองอันดับที่ 1 น.ส. รัชฎาพร ไชยวรศิลป์ เป็นรองอันดับที่ 2 น.ส. นิตยา คำภีระ เป็นรองอันดับที่ 3 และ น.ส. เพราพิลาส อาสาจรรย์ 
เป็นรองอันดับที่ 4 ในการประกวดครั้งนั้นนางสาว เรวดี มูลประการ ได้มีคะแนนนำมาโดยตลอดตั้งแต่รอบแรกจนถึงรอบสุดท้าย 
จากวันนั้นสู่วันนี้ คุณ เรวดี มูลประการ อดีตนางสาวเชียงใหม่ 2509 ได้มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุขและเป็นนางเรวดี ธนสารศิลปในปัจจุบัน 
       “ ก่อนได้นางสาวเชียงใหม่ดิฉันได้ประกวดนางงามเวทีแรกคือการประกวดนางงามสันป่าตอง ตอนนั้นอายุ 16 ย่าง 17 ได้ค่ะ ตอนนั้นก็ยังไม่ได้รู้เรื่องอะไรมากหรอกค่ะตอนประกวด
ก็ตื่นเต้นเพราะไม่เคยเดินประกวดบนเวทีนางงามมาก่อน เดินให้คนดูเยอะแยะแถมยังนุ่งห่มสั้นด้วยแม้จะไม่สั้นมากแบบสมัยนี้แต่ก็เขินอายพอสมควรค่ะ (ยิ้ม) เมื่อตอนได้ตำแหน่งจริง ๆ 
ดิฉันเองรู้สึกธรรมดา แต่คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือพี่เลี้ยงเพราะเขาก็รักเราหวังที่ให้เราชนะการประกวดพอได้เป็นนางงามสันป่าตองแล้วเขาเลยตื่นเต้นดีใจมากกว่านางงามอีกค่ะ ”หลังจากที่คุณเรวดี
ได้ตำแน่งนางงามสันป่าตอง เธอจึงได้รับการชักชวนจากคุณครูดรุณีผู้เป็นผู้ดูแลในการประกวดให้มาอยู่ที่ตัวอำเภอเนื่องจากหมู่บ้านของเธอไกลจากตัวเมืองมาก หลังจากนั้นเธอได้ถูกทาบทาม
ให้เข้าประกวดนางสาวไทยในปีเดียวกัน 
 “ ในสมัยนั้นเขาค่อนข้างเห่อนางงามกันค่ะ มีนางงามประจำอำเภอหรือจังหวัดที่ไหนก็ส่งนางงามเข้าประกวดกัน แม้การทั้งประกวดนางสาวไทย ซึ่งขณะนั้นนายห้างสหัพฒนพิบูลท่านก็ได้
ทาบทามให้มาประกวดนางสาวไทยปีเดียวกับคุณจีรนันท์ เศวตนันทน์ได้เข้ารอบ 15 คนค่ะประกวดเสร็จก็กลับเชียงใหม่จนกระทั่งต่อมามีการประกวดนางสาวเชียงใหม่ขึ้นค่ะจึงได้เข้าร่วม
ประกวด แต่ครั้งนี้เดินเวทีที่เชียงใหม่ไม่ตื่นเต้นแล้วค่ะเพราะเราผ่านการประกวดมาบ้างแล้ว เลยทำให้ไม่ค่อยกลัวและรู้สึกเฉย ๆ เราก็ทำไปตามหน้าที่ของเราและไม่ได้คาดหวังว่าจะได
้จนกระทั่งตอนที่ได้ประกาศว่าเราได้ยังประหลาดใจ ตอนหลังถึงมาทราบจากพลเอกกฤษณ์ สีวะรา ซึ่งท่านเป็นกรรมการอยู่ด้วย ท่านบอกว่าให้คะแนนดิฉันเพราะยิ้มประทับใจกรรมการ
ก็เลยทราบว่าเป็นเพราะยิ้มประทับใจกรรมการนี่เอง (หัวเราะ)
        แม้กาลเวลาจะล่วงเลยมาหลายปีแต่ความทรงจำอันงดงามจากการเป็นนางสาวเชียงใหม่ยังเป็นภาพที่ตราตรึงอยู่เสมอดีใจค่ะ ว่าครั้งนึ่งตัวเราเองก็ได้เป็นความภาคภูมิใจได้เป็น
ตัวแทนเขตสันป่าตองและได้เป็นนางสาวเชียงใหม่ ดีใจที่เราได้มีโอกาสประกวดนางงามเพราะการเป็นนางงามของเรา เป็นการเปิดโอกาสหลาย ๆ อย่างในชีวิตได้ทำให้มีคนรู้จักแล้วเหตุ
ที่ได้มาอยู่กรุงเทพฯ ได้เรียนหนังสือต่อจนได้พบกับสามีมีครอบครัวที่ดีและที่มีวันนี้ได้ก็เพราะผู้มีพระคุณหลาย ๆ ท่านที่ได้นำดิฉันมาประกวดนางงามด้วยค่ะ ” แม้ว่าความงดงามของใบหน้า
จะเป็นส่วนหนึ่งในการเบิกทางให้ได้ครองตำแน่งสูงสุดในการประกวดนางงามโดยมีมงกุฎเป็นอาภรณ์ แต่อาภรณ์ที่สำคัญที่ประดับอยู่ภายในตัวเธอและจะคงอยู่ตลอดไปคืออาภรณ์จากจิตใจ
อันงดงามนั่นเอง