ลัวะ หรือละว้า เป็นเจ้าของถิ่นเดิมภาคเหนือก่อนที่ไทยเราจะอพยพลงมาสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ตามตำนานของเชียงรายได้บันทึกไว้ว่า ชาวละง้าเคยมีอำนาจปกครองไทยสมัยหนึ่ง แต่ต่อมาภายหลังได้เกิดการต่อสู้รบพุ่งกัน ไทยประสบชัยชนะได้ฆ่าฟันขับไล่และทำลายล้างชาติละว้า ชาวละว้าหรือลัวะเป็นจำนวนไม่น้อยที่หนีกระจัดกระจายไปอยู่ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง อาศัยอยู่ในบริเวณห่างไกลจากเขตเจริญ โดยตั้งบ้านเรือนรวมกันเป็นหมู่บ้านเฉพาะพวกของเขา ครั้นบ้านเมืองย่างเข้าสู่ความเจริญโดยมีถนนหนทางติดต่อไปมาทั่วถึงกัน รัฐบาลไทยได้ขยายการศึกษาแพร่หลายออกไป บรรดาลูกหลานชาวลัวะซึ่งนับถือศาสนาพุทธมาตั้งแต่ดั้งเดิม และมีขนบธรรมเนียมประเพณีคล้ายคลึงคนไทยเผ่าอื่น ๆ ก็กลายเป็นชาวเหนือ มากขึ้นทุกที ซึ่งอาจทำนายได้ว่าอนาคตอันใกล้นี้ชาวลัวะจะต้องสิ้นสูญชาติไปอย่างแน่นอน |
ชาวลัวะ มีขนบธรรมเนียมเครื่องแต่งกายต่างกับชาวเหนือ ผู้ชายนุ่งผ้าพื้นโจงกระเบนหรือโสร่ง ผู้หญิงสวมเสื้อสีดำผ่าอกแขนยาว ปักเป็นแผ่นใหญ่ที่หน้าอกตามแถวกระดุม และ
แถวรังดุมรอบคอ ปักที่ชายแขนเสื้อตรงข้อมือทั้งสองข้างและที่ใต้ตะโพกรอบเอวด้วยดิ้นเลื่อม ไหมเงินคล้ายเสื้อขุนนางไทยโบราณ ผ้าซิ่นติดผ้าขาวสลับดำเล็ก ๆ ตอนกลางเป็นริ้วลาย ชายซิ่น
ติดผ้าสีดำกว้างประมาณ 1 ศอก ตามปกติผู้หญิงอยู่บ้านไม่ค่อยสวมเสื้อชอบเปิดอกเห็นถัน ถ้าเข้าไปในเมืองก็จะสวมเสื้อแต่งกายอย่างชาวเหนือ ถ้าออกไปหาผักตามป่า เอาผ้าขาวโพกศีรษะ
สะบายกระบุงก้นลึกโดยเอาสายเชือกคล้องศีรษะตรงเหนือหน้าผาก ใส่คาดคอรองรับน้ำหนักอีกชั้นหนึ่ง ไม่สวมเสื้อ แต่ดึงผ้าซิ่นขึ้นไปเหน็บปิดเหนือถันแบบนุ่งผ้ากระโจมอก เวลาเดินน่ากลัว
ผ้าซิ่นหลุด แต่ไม่เคยปรากฎเพาะเหน็บแน่น ไปไหนถือกล้องยาทำด้วยรากไม้ไผ่เป็นประจำ เสื้อของผู้ชายอย่างเดียวกันกับผู้หญิง แต่ไม่ปักดอกลวดลายที่คอเสื้อและชายเสื้อ เครื่องแต่งกาย
ดังกล่าวนี้ปัจจุบันไม่ใช้กันแล้ว หันมานิยมเสื้อเชิ้ตแขนยาวผ่าอกกลาง กางเกงจีนธรรมดา แต่ผู้ชายที่นุ่งผ้ากระโจงกระเบนยังมีอยู่บ้าง
|
ชาวลัวะ นอกจากนับถือศาสนาพุทธ ยังนิยมนับถือผี มีการถือผีเสื้อบ้าน ส่งเคราะห์ ผูกเส้นด้ายข้อมือถือขวัญ เวลาเจ็บป่วยใช้ยารากไม้สมุนไพร เสกเป่า และทำพิธีฆ่าไก่เซ่นผี
ถ้าตายก็จะทำพิธีอย่างชาวเหนือ มีพระสงฆ์สวดมนต์ บังสกุล เอาศพไปป่าช้า ฝังมากกว่าเผา แต่ถ้าตายอย่างผิดธรรมดาก็เผาให้สิ้นซากไปในวันงานพิธีเลี้ยงผีเสื้อบ้าน (ผีหมู่บ้าน) เขาทำซุ้ม
ประตูสานไม้เป็นรูปรัศมี 8 แฉกติดไว้ ห้ามไม่ให้คนต่างถิ่นเข้าสู่เขตหมู่บ้าน เครื่องหมายนี้ชาวเหนือเรียกว่า ตาแหลว ซึ่งชาวไทยกลางเรียก เฉลว เขาปิดบ้านทำพิธีเลี้ยงผีเสื้อบ้าน 1 วัน ถ้า
เดินทางไปพบเครื่องหมายเฉลวนี้แล้วต้องหยุดอยู่ มีธุระอะไรก็ตะโกนเรียกชาวบ้านให้ไปพูดกันที่ตรงนั้น เช่น ขอดื่มน้ำหรือเดินหลงทางมา ถ้าขืนเดินล่วงล้ำเขตหมู่บ้านของเขาจะถูกปรับเป็นเงิน
5 บาท ถ้าไม่ยอมให้ปรับเขาบังคับให้ค้างแรม 1 คืน เวลาเกิดมีโรคสัตว์ระบาด หรือไข้ทรพิษเกิดขึ้นแก่คนภายในหมู่บ้านของเขา เขาจะปิดเฉลว หรือเครื่องหมายห้ามเข้าหมู่บ้านเช่นเดียวกัน
|
![]() |
||
ภาษาของชาวลัวะไม่เหมือนภาษาไทยเลย ทั้งไม่คล้ายคลึงภาษาของชนชาติใด เข้าใจว่าเป็นชนชาติหนึ่งต่างหาก เช่น คำว่ากิน ชาวลัวะว่า จ่า แมว ว่า อั่งแมง หมู-ว่า สุนัข-ขื้อ
ไฟ-มีท่อ น้ำ-ลาง ลูก-อังย่ะ เมีย-ข่ามบ๊ะ ผัว อังบลอง อยู่ใกล้-อังดื้อ อยู่ไกล-อังเวอ บ้านท่านอยู่ที่ไหน-อาส่างข่องเดิ่งแง รับประทานอาหารกับอะไร-ไม้ เจ่อจ่าแอ รับประทานข้าว-ห่างจ่า
ไปเที่ยวไหนมา-เกิ่งบ่แอ ไปไหน-อาละเกิ่งแอ ฯลฯแต่ถ้าเป็นคำที่เรียกซื้อสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ เรียกเป็นภาษาชาวเหนือทั้งสิ้น ตลอดจนชื่อก็อย่างชาวเหนือ เช่น บัวจั๋น คำปัน พรหมา ฯลฯ
เข้าใจว่าชื่อเดิมของลัวะนั้นไม่ได้เรียกกันดังนี้ มานิยมใช้ชื่อแบบชาวเหนือภายหลัง ส่วนชื่อเครื่องใช้นั้นสมัยโบราณเครื่องใช้แบบปัจจุบันชาวลัวะไม่มีใช้และรู้จัก เมื่อซื้อไปก็เลยเรียกชื่อตาม
ชาวเหนือเรียก อาศัยที่อยู่ใกล้เคียงชาวเหนือขนบธรรมเนียมจึงคล้ายชาวเหนือ เพราะชนชาตินี้ถูกกลืนง่ายที่สุด ดังปรากฎว่า ลัวะที่อยู่ในเขตไทยใหญ่ได้กลายเป็นชาวไทยใหญ่โดยมาก
ขนบธรรมเนียมในการเที่ยวสาวชาวลัวะ เขาจะหยุดการทำงานในวันพระ ตลอดจนการเที่ยวสาวก็พลอยงดเที่ยวไปด้วย การเที่ยวสาวขึ้นไปนั่งสนทนาเกี้ยวพาราสีหญิงสาวบนบ้าน เมื่อหญิงสาว
พอใจรักใคร่จะล่วงเกินเอาเป็นภรรยาได้โดยใส่ผีเป็นเงิน 12 บาท ครั้นแล้วต้องไปทำงานให้พ่อตาแม่ยายเป็นเวลา 1 ปี ถึง 3 ปี จึงแยกปลูกบ้านเรือนต่างหากได้ ในปีแรกจะแยกเอาภรรยาไป
อยู่บ้านตนหรือปลูกบ้านอยู่ต่างหากไม่ได้เป็นอันขาด อย่างน้อยต้องรับใช้งานพ่อตาแม่ยาย 1 ปี เพราะต้องการใช้แรงงานบุตรเขย
|
ที่มาของข้อมูล
บุญช่วย ศรีสวัสดิ์. 2547. 30 ชาติในเชียงราย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ศยาม.