อำเภอเชียงคำ ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของจังหวัดเชียงราย เป็นแหล่งที่อยู่ของชาวลื้อหลายหัวเมือง ซึ่งอพยพมาจากเมืองพง เมืองหยวน เมืองมาง เมืองยั้ง เมืองเงิน
เมืองเชียงคาน ฯลฯ ในเขตมณฑลยูนนานตอนใต้ และอินโดจีนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยตั้งหมู่บ้านเป็นหมู่บ้าน ๆ ใช้ชื่อเมืองที่อยู่เดิมตั้งเป็นชื่อหมู่บ้าน เช่นบ้านหยวน บ้านมาง
บ้านเชียงคาน บ้านล้า ฯลฯ บ้านเรือนคล้ายคลึงกับลื้อแจ้ง ผู้ชายแต่งกายชุดสีดำสวมกางเกงยาวตรงปลายมีแถบแขนเสื้อยาวมีแถบแพรอยู่ตอนปลาย พันศรีษะด้วยผ้าสีขาวหรือสีอ่อน ๆ
บางทีใช้ผ้าขนหนู หรือผ้าฝ้ายธรรมดาพัน เวลาออกจากบ้าน สวมหมวกใบใหญ่เรียกว่า กุ๊บ สะพายดาบ ถือร่ม เดิมนิยมสักหมึกตามตัว แต่ปัจจุบันเลิกแล้ว ผู้หญิงสวมเสื้อพื้นสีดำ
ติดแถบสีอ่อน ๆ ปักลวดลายริมขอบเสื้อผ่าอกปิดป้ายมาทางอกข้าง แขนเสื้อยาวนุ่งผ้าซิ้น สีดำมีแถบบน และริ้วลายตอนกลางเป็นชั้น ๆ คาดเข็มขัดเงินสลักรูปต่าง ๆ สวยงาม เครื่องประดับ
กายมีต่างหู ปิ่นปักผมซึ่งทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ สวมกำไลข้อมือเงิน
 |
ภาษาลื้อเชียงคำมีผิดเพี้ยนภาษาไทยกลางเล็กน้อยเช่นหม้อแกง ว่า หม้อแค บุหรี่-เบารี วัว-โฮ่ น้ำพริก-น้ำแจว
ยุ้งข้าว-เล่าข้าว ผ้าขาวม้า-ผ้าโหะ ไปไหนมา-ไปไหนป้อก เมื่อสาย-เมื่องาน ฯลฯ
ชาวลื้อมีอาชีพทางกสิกรรม ทำนา ทำสวน มีจารีตประเพณีนับถือผีต่างกันเพียงเล็กน้อย เช่น ลื้อเมืองพงนับถือผีกินหมู
ส่วนลื้อบางพวกนับถือผีกินวัว ต่างแยกกันอยู่เป็นหมู่บ้านตามประเภทของผีที่ตนนับถือแต่ลื้อทุกเผ่าเหล่านี้นับถือศาสนาพุทธ
พร้อมกันกับนับถือผี ขนบธรรมเนียมการเลี้ยงผีนั้นต่างกัน ลื้อเมืองพง เมืองหย่วน เมืองมางจะเลี้ยงผีเมือง 3 ปีต่อครั้งหนึ่ง
เครื่องเซ่นใช้หมู เริ่มทำพิธีในเดือน 7 หรือเดือนพฤษภาคม มีการเล่นการพนัน ปิดเฉลวประตูหมู่บ้าน 3 วัน เรี่ยไรเงินจาก
ชาวบ้านทุกครอบครัวนำไปซื้อหมูตัวใหญ่ทำการฆ่าต้มให้สุกนำไปเซ่นผีที่นับถือของตน ณ ศาลเจ้าข้างหมู่บ้าน เสร็จแล้ว
เอาเลี้ยงกัน ณ ที่นั้นจนหมด ไม่ยอมให้เหลือกลับไปบ้าน งานนี้จะเป่าปี่ตีฆ้องอัญเชิญผีเมืองเข้าทรงหญิงซึ่งถือเป็นที่นั่ง
ไต่ถามถึงความเป็นไปของบ้านเมืองและเหตุการณ์อนาคต ซึ่งเกี่ยวกับผลประโยชน์ของเขา กำหนดงานเลี้ยงผีของชาวลื้อ
บางพวกปีละครั้ง บางเมือง 2 ปีต่อครั้ง ครั้งละ 3 วัน ลื้อเมืองล้าเลี้ยงผีเป็นเวลา 7 วันทุก ๆ 3 ปี หนุ่มสาวพากันแต่งกายด้วย
เสื้อผ้าที่สวยงาม นำเรือออกพายร้องเพลงขับโต้ตอบกันไปตามลำแม่น้ำ เวลากลางคืนมีการเล่นโยนบ่ากอน (ถุงผ้าใส่เม็ดมะขาม)
เล่นไล่จับกันข้างกองไฟกลางลานบ้านทั้งหญิงชาย
|
งานทำบุญบวชนาคของชาวลื้อนั้นเขาทำร้านไว้ที่บ้านเชื้อเชิญญาติพี่น้องชาวบ้านไปร่วมทำบุญ การฟังเทศน์นิยม
เดือน 9 ขึ้น 15 ค่ำงานทำบุญถวายทานก๋วยสลาก (เครื่องไทยทานวิธีจับสลาก) มีงานในเดือน 10 ขึ้น 15 ค่ำ เริ่มตั้งต้นวัดใหญ่ก่อน
ชาวบ้านต่างทำเครื่องไทยทานเป็นรูปปราสาทวิมานประดับด้วยดอกไม้เงินดอกไม้ทอง มีรูปช้างม้าวัวควายต่างๆ นำแห่กันไปถวาย
ทานแก่พระสงฆ์โดยวิธีจับสลาก งานขึ้นปีใหม่เริ่มแต่กลางเดือนเมษายนทุกปีในวันสงกรานต์หนุ่มสาวชาวลื้อชวนกันไปเที่ยวหาหน่อไม
้ในดิน ซึ่งเขาเรียกว่า หน่อไม้แป ตามป่าริมห้วยลำธารหรือธารน้ำตก วันรุ่งขึ้นทำขนมอาหารเตรียมทำบุญ วันถัดมาพากันไปถวายทาน
ด้วยถาดอาหารแก่พระอธิการเจ้าวัด เพื่ออุทิศส่วนกุศลไปให้ผู้ล่วงลับแล้ว อย่างเดียวกันกับชาวเหนือตอนสายนำเอาก๋วย (รูปร่างคล้ายเข่ง
หรือตะกร้าแต่เล็กกว่า) ใส่เครื่องไทยทาน มีมะพร้าว กล้วย หมาก ส้ม ธูปเทียน เงิน ฯลฯ นำไปถวายพระสงฆ์อีกเสร็จแล้วพากันเที่ยวรดน้ำ
มอมหน้าดื่มสุรา เลี้ยงอาหารตามบ้านอื่น ๆ ตอนบ่ายตีฆ้องกลองฟ้อนรำแห่บ้องไฟไปจุด มีการละเล่นต่างๆ ร้องเพลงขับกันจนดึกดื่น
ตลอดวันตลอดคืน รุ่งขึ้นพากันแห่บ้องไฟที่จุดแล้วพร้อมกับนำต้นกัลปพฤกษ์ไปดำหัวผู้เป็นเจ้าฟ้า พระยาประจำเมือง ตลอดจนผู้ใหญ่บ้าน
คนเฒ่าคนแก่ หนุ่มสาว
|
 |
เล่นโยนบ่ากอน (คล้ายหมอนเล็กๆ ภายในบรรจุเมล็ดมะขาม) หญิงสาวชายหนุ่มอยู่คนละฝ่าย ถ้าชายหนุ่มแพ้ หญิงสาวคู่โยนจะแย่งเอาแหวน กำไลมือ มีด ฯลฯ ของชายหนุ่ม
ไปบ้าน ชายนั้นต้องเอาเงินไปไถ่ ของมีราคาแพงต้องไถ่ในราคาสูง เช่น ราคา 100 เหรียญ ไถ่ 10 เหรียญถ้าไม่ไปไถ่ ตามขนบธรรมเนียม ชาวลื้อถือว่าชายหนุ่มพอใจอยากได้หญิงสาว
เป็นภรรยา ของที่ยึดไว้นั้นเป็นเสมือนสินหมั้น ส่งญาติผู้ใหญ่ไปเจรจาตกลงนัดกำหนดวันประกอบพิธีแต่งงาน วันถัดต่อมามีการนำอาสิ่งของเช่นหมาก พลู ผ้า ธูปเทียน น้ำส้มป่อย ฯลฯ
ไปดำหัวญาติผู้ใหญ่ และผู้มีบุญคุณต่อคน การดำหัวคือเอาสิ่งของไปให้ขอขมาที่ล่วงเกิน และด้วยความเคารพระลึกถึงบุญคุณจะได้รับพรเป็นการตอบแทน